คุณอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานสัมมนา “Parts Transformation: ทางเลือก – ทางรอด ชิ้นส่วนยานยนต์ไทย” ร่วมกับ คุณสุพจน์ สุขพิศาล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
งานสัมมนาครั้งนี้เป็นดั่งการรวมพลังเพื่อหาคำตอบสำคัญ ว่าอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยจะอยู่รอดและเติบโตอย่างไรในยุคที่โลกเปลี่ยนไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีใหม่
คุณอิศเรศฯ กล่าวว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมใหม่ ให้เป็น New Growth Engine โดยเฉพาะอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ที่กำลังประสบกับความท้าทาย สภาอุตสาหกรรมฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่อนาคต หรือ Part Transformation วันนี้รู้สึกยินดีที่ได้เห็นผู้ประกอบการทุกท่านมีความตื่นตัว เพราะนี่คือก้าวสำคัญที่จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจไทยและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในระยะยาว
คุณสุพจน์ฯ กล่าวถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยว่า แม้ปี 2568 จะตั้งเป้าการผลิตไว้ที่ 1.5 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย แต่ยอดขายในประเทศยังคงหดตัว โดยเฉพาะรถกระบะที่ยอดขายลดลงกว่า 20% ในภาคอีสานและภาคกลาง เนื่องจากภาวะหนี้ครัวเรือนและเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ขณะเดียวกัน EV ก็กำลังเข้ามาเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการชิ้นส่วนฯ จึงต้องเร่งมองหาโอกาสใหม่เพื่อความอยู่รอดและการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต
งานนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสนใจจากผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์และกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่มาร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนแนวคิดกับวิทยากรอย่างคับคั่ง โดยหลังจากช่วงกล่าวเปิดงานของทั้งสองท่านแล้ว วิทยากรแต่ละคนได้ถ่ายทอดประสบการณ์การเปลี่ยนผ่านธุรกิจของตนเองอย่างเข้มข้น สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของผู้ประกอบการไทยที่พร้อมจะปรับตัวสู่อนาคต
การเสวนา
ดร.เกรียงศักดิ์ วงศ์พร้อมรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ เปิดมุมมองใหม่ที่น่าสนใจ การพัฒนาชิ้นส่วนยานยนต์ไทยสู่อุตสาหกรรมระบบราง โดยชี้ให้เห็นว่า รถไฟฟ้าจะมีตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง โดยดร.เกรียงศักดิ์เผยว่า สถาบันยานยนต์ได้ทำข้อตกลงความร่วมมือกับ สทร. และ Blue Engineering S.r.l. ประเทศอิตาลี เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางของไทย ทั้งนี้ ยังตัวอย่างประเทศตุรกีที่ประสบความสำเร็จในการส่งออกรถไฟ "ถ้าตุรกีทำได้ ทำไมไทยจะทำไม่ได้"
ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการการขนส่งระบบรางและขนส่งสมัยใหม่ MTEC เล่าถึงโครงการที่ท้าทายและน่าตื่นเต้น การพัฒนารถค้ำคูณสู่ระบบนิเวศธุรกิจแห่งอนาคต
"แม้ต้นแบบรถค้ำคูณจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย แต่ยังมีความท้าทายในเชิงธุรกิจทั้งด้านการผลิตและการขนส่ง" ดร.เอกรัตน์ระบุ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการพัฒนาเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีการพัฒนาทั้งระบบเพื่อให้เกิดความยั่งยืนทางธุรกิจ
คุณชรัคร ตรังอดิศัยกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท BKF Aerospace เล่าถึง "การเติบโตแบบ Exponential" จากจุดเริ่มต้นเพียง 50,000 ดอลลาร์ในปี 2555 วันนี้บริษัทครองพื้นที่ 4,240 ตารางเมตร พนักงาน 330 คน ผลิตชิ้นส่วนการบินกว่า 2,100 รายการ ด้วยอัตราการเติบโต CAGR ถึง 72%
แต่ความสำเร็จมาพร้อมความท้าทาย ทั้งในระดับโลก ระดับประเทศ และระดับบริษัท
คุณวัชรา ลี้โกมลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จาก CLP Group พลิกวิกฤตเป็นโอกาส เมื่อการแข่งขันจากจีนทำให้ต้องคิดใหม่ทำใหม่ จาก "ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์" สู่ "ผู้สร้างนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร" ด้วยเครื่องสีข้าวมาตรฐานญี่ปุ่นในราคาที่ SMEs ไทยเอื้อมถึง
ไม่หยุดเพียงเท่านั้น CLP Group ยังสร้าง "Ecosystem เกษตรแบบครบวงจร" ตั้งแต่เครื่องจักรต้นน้ำ ระบบชลประทาน ไปจนถึงการแปรรูปปลายน้ำ พร้อมศูนย์เรียนรู้และ Innovation Park เพื่อยกระดับเกษตรกรไทยสู่ "Smart Farmer" อย่างแท้จริง
คุณณภูมี ไวทยะพัฒน์ จาก ผู้จัดการโรงงาน จาก C.C. Autopart เล่าถึงการเปลี่ยนผ่านที่ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้ จากผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Metal Forming กว่า 35 ปี สู่การผลิต Dental Unit หรือยูนิตทันตกรรมครบวงจร
โดยคุณณภูมิได้เน้นย้ำถึง 4 ปัจจัยสำคัญของการ Transform ได้แก่ การศึกษาตลาดเป้าหมายอย่างละเอียด การปรับปรุงมาตรฐานโรงงาน การสร้างระบบโลจิสติกส์ที่เข้มแข็ง และการพัฒนาทักษะบุคลากร
คุณศิรพรรณ อ่อนอรรถ กรรมการผู้จัดการ บริษัท O.E.I. Part บอกเล่าการเดินทางสู่ "Silicon Valley แห่งเอเชีย" เริ่มจาก Business Matching ปี 2558 "เราเริ่ม SOP ในปี 2559 และปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และไฟฟ้ากว่า 30% จากเดิมที่พึ่งพาอุตสาหกรรมยานยนต์เกือบ 90%" คุณศิรพรรณเผย โดยการปรับตัวครั้งนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนสินค้า แต่คือการยกระดับทุกมิติ ทั้ง Chemical Composition ที่ต้องแม่นยำ, Precision Tolerance ที่เข้มงวดขึ้น, และ Cleanliness Standards ที่สูงกว่าเดิมหลายเท่า
กุญแจสำคัญคือ การวางแผนที่ดี ใช้จุดแข็งที่มีอยู่ และพร้อมปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง พร้อมกับการสนับสนุนที่เหมาะสมจากภาครัฐ
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเอาตัวรอดจากวิกฤต แต่เป็นการสร้างโอกาสใหม่ที่จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาวต่อไป โดยงานสัมมนาครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า "Parts Transformation" ไม่ใช่แค่คำพูด แต่คือการลงมือทำจริงของผู้ประกอบการไทย ที่พร้อมจะพลิกโฉมจาก "ผู้ผลิตชิ้นส่วน" สู่ "ผู้นำนวัตกรรม" ในอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจไทยต่อไป